ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิต ที่เราเรียกว่า New Normal และไม่เพียงแต่รูปแบบการใช้ชีวิตเท่านั้นที่ต้องปรับเปลี่ยน รูปแบบการทำงานก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย การเปลี่ยนแปลงนี้จึงทำให้เกิดไลฟ์สไตล์การทำงานใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า “Hybrid workplace” ที่ปัจจุบันกำลังจะกลายเป็นเทรนด์การทำงานในยุคนี้ไปแล้ว
เทรนด์นี้คืออะไร และจะทำให้โลกการทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร มาหาคำตอบไปพร้อมกัน
รู้จักกับ Hybrid workplace
ช่วง 1- 2 ปีที่ผ่านมา ผู้คนต่างต้องปรับตัวไปกับการใช้ชีวิตแบบ New Normal มีคนจำนวนมากต้อง Work from home นั่นทำให้การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของพนักงานที่เคยเกิดขึ้นภายในออฟฟิศต้องเปลี่ยนมาเป็นที่บ้าน เมื่อคนทำงานเริ่มปรับตัวไปกับการ WFH บางส่วนก็เริ่มคุ้นชินและยอมรับในรูปแบบการทำงานแบบนี้ ในส่วนของบริษัทและองค์กรเองก็มองเห็นว่าประสิทธิภาพในการทำงานแบบนี้ให้ผลลัพธ์ค่อนข้างดี จึงเริ่มปรับแนวทางรูปแบบการทำงานให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้มากขึ้น
แต่อย่างไรก็ดี หลาย ๆ องค์กรยังมองว่า การ WFH แบบ 100% นั้นก็ยังไม่ตอบโจทย์การทำงานในบางส่วน โดยเฉพาะงานที่ต้องมีการใช้ทักษะ “ความคิดสร้างสรรค์” เพราะหลาย ๆ ครั้งความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นจากการพบปะและการร่วมมือกันของผู้คน จึงทำให้การมาทำงานในออฟฟิศยังคงเป็นเรื่องที่จำเป็นอยู่ การทำงานในรูปแบบ Hybrid workplace จึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการทำงานในรูปแบบผสมผสานที่มีความยืดหยุ่น เป็นการสลับกันระหว่างการ WFH และการเข้าออฟฟิศ โดยสิ่งที่จะใช้เชื่อมต่อหรือสลับโหมดการทำงานให้เกิดความต่อเนื่องและไร้รอยต่อก็คือ การใช้โซลูชันเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวเชื่อมประสานการทำงาน เราอาจสรุปได้ว่า Hybrid workplace คือการต่อยอดรูปแบบการทำงานจากการ WFH ก็ว่าได้
Hybrid workplace จะทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ในขณะนี้รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid ไม่ได้เป็นแค่ “New Normal” แต่กำลังกลายเป็น “Now Normal” บริษัทและองค์กรทั่วโลกเริ่มหันมาวางระบบการทำงานแบบ Hybrid workplace กันมากขึ้น คำถามที่ตามมาคือ ถ้าระบบการทำงานลักษณะนี้กลายเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ของการทำงาน โลกการทำงานและการดำเนินธุรกิจจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เราสรุปออกมาเป็น 2 ส่วนทั้งฝั่งองค์กรและฝั่งพนักงาน ให้ทุกคนเห็นภาพคร่าว ๆ ดังนี้
1. ฝั่งองค์กร: จะมีการตัดสินใจปรับรูปแบบการลงทุน
เมื่อพนักงานไม่จำเป็นจะต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน บริษัทต่าง ๆ จึงจะลดขนาดพื้นที่ออฟฟิศลงเพื่อลดต้นทุนธุรกิจ และจะโยกงบประมาณไปลงทุนในเรื่องของโซลูชันเทคโนโลยีที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานในลักษณะ Hybrid workplace แทน ทั้งการลงทุนเรื่องซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน และระบบคลาวด์ เพื่อให้พนักงานแต่ละฝ่ายของบริษัททำงานกันได้อย่างสะดวกและเกิดความต่อเนื่อง ส่วนการตรวจสอบเวลาเข้าทำงานของ HR ก็จะมีการปรับมาใช้เทคโนโลยี HR Application ทำให้ยังคงสามารถเช็คการเข้า – ออกการทำงานได้ตามปกติ
บางบริษัทอาจไม่ลดขนาดพื้นที่ออฟฟิศ แต่ใช้วิธีการปรับเปลี่ยนพื้นที่บางส่วนไปเป็น Co-Working Space และจัดลำดับวันเวลาการเข้าใช้งานพื้นที่นั้นตามแผนก หรือระบบ Free addressing เลือกที่นั่งได้ตามความเหมาะสม การปรับเปลี่ยนเช่นนี้ จะทำให้พนักงานได้พื้นที่ทำงานที่มากขึ้น ช่วยลดความแออัดในออฟฟิศแบบเดิม ๆ ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส และเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้พนักงานสามารถสร้างสรรค์งานได้ดีขึ้นจากพื้นที่การทำงานที่มากขึ้น โดยโซลูชันที่จะมาสนับสนุนการจัดการที่นั่งแบบ Free addressing เช่น Hot-desk booking system
2. ฝั่งพนักงาน: สามารถ Work Life Balance ได้ดีขึ้น
Hybrid workplace จะช่วยให้พนักงานมีอิสระในการออกแบบไลฟ์สไตล์การทำงานของตัวเองมากกว่าที่ผ่านมา เมื่อไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวันชีวิตก็เกิดความยืดหยุ่น ลดเวลาในการเดินทาง ก็ทำให้มีเวลาเหลือที่จะให้กับตัวเองและคนในครอบครัวมากขึ้น เมื่อชีวิตกับการทำงานเกิดความสมดุล ความสุขในชีวิตก็มากขึ้นและนั่นเป็นผลทำให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้นด้วย
นี่คือ แนวโน้มและความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นจากเทรนด์ Hybrid workplace รู้แบบนี้แล้ว เราทุกคนคงต้องเริ่มปรับตัวให้พร้อมสำหรับการทำงานที่เปลี่ยนจาก New Normal เป็น Now Normal กันได้แล้ว